วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

วัดโมลีโลกยาราม


           วัดโมลีโลกยาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิด ราชวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฎร์ สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๒ หลังพระราชวังเดิมครั้งกรุงธนบุรี ริมคลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) ฝั่งเหนือ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

เขตและอุปจารวัด
           วัดนี้มีเนื้อที่จำนวน ๑๒ ไร่ ๓ งาน เว้นด้านหน้าวัดซึ่งจดคลองบางกอกใหญ่ด้านเดียวนอกนั้นกำแพงสูงประมาณ ๕ ศอก ล้อมทั้ง ๓ ด้าน บางด้านเป็นกำแพงพระราชวังเดิมเนื่องจากเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานพระราชวังเดิมสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีนั่นเอง มีอาณาเขต ดังนี้

           ทิศเหนือ        ติดกำแพงกองทัพเรือ กรมสื่อสารทหารเรือ

           ทิศใต้            ติดคลองบางกอกใหญ่ ฝั่งตรงกันข้ามเป็นที่ตั้งของวัดกัลยามิตร

           ทิศตะวันออก ติดกำแพงกองทัพเรือ บริเวณอาคาร ๕

           ทิศตะวันตก    ติดบ้านเรือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่วัดและสะพานอนุทินสวัสดิ์

ผู้สร้างและผู้ปฏิสังขรณ์
           วัดนี้เป็นวัดโบราณ สร้างมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อพุทธศักราชเท่าใด และใครเป็นผู้สร้าง มีชื่อเรียกทั่วไปว่า "วัดท้ายตลาด" มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา จนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน เนื่องจากตั้งอยู่ต่อจากตลาดเมืองกรุงธนบุรี คำว่า ตลาดเมืองธนบุรี นั้น ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า เดิมแม่น้ำพระยาไม่ได้ตัดเป็นเส้นตรงอย่างเช่นทุกวันนี้ ช่วงระหว่างปากคลองตลาดบางกอกน้อยบริเวณโรงพยาบาลศิริราชถึงบริเวณท่าเตียนนั้นเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขุดขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๐๘๙) แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสัญจรทางน้ำการสงคราม การค้าขายทั้งในและนอกราชอาณาจักร เป็นต้น สำหรับแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมในช่วงบางกอกนั้นเป็นสายที่คิดเคี้ยว เมื่อไหลเข้าสู่บางกอกจะไหลวกเข้าสู่คลองบางกอกน้อยเชื่อมต่อคลองบางกอกใหญ่ ไหลมาออกที่ปากน้ำบริเวณหน้าวัดท้ายตลาดกับบริเวณข้างวัดกัลยาณมิตร ทำให้เสียเวลาในการเดินทางเรือ จึงโปรดให้ขุดคลองลัดบางกอกดังที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งบริเวณเหล่านี้ในสมัยนั้นเป็นตลาดน้ำขนาดใหญ่ที่มีเรือสินค้าทุกประเภทจอดเรียงรายเพื่อค้าขายสินค้าทุกชนิดเต็มไปหมด ซึ่งได้แก่บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่และปากคลองตลาดทุกวันนี้ วัดนี้จึงเรียกว่า "วัดท้ายตลาด" พระอารามนี้มีความสำคัญต่อประเทศชาติและราชวงศ์ ดังนี้

สมัยกรุงธนบุรี
           หลังสถาปนากรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเป็นราชธานีแห่งใหม่ของสยามประเทศแล้วสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเห็นว่าบริเวณเขตพระราชวังมีความคับแคบ เนื่องจากมีวัดขนาบอยู่ทั้งสองด้าน จึงทรงรวมเขตพื้นที่ของวัดทั้ง ๒ คือวัดท้ายตลาดกับวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) เข้าเป็นเขตพระราชวัง จึงเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำตลอดสมัยกรุงธนบุรี วัดท้ายตลาดและวัดแจ้งจึงนับเป็นพระอารามในเขตพระราชงัวเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
          เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับที่ตั้งของกรุงธนบุรี คือ พระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรหรือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามและสร้างเสนาสนะสงฆ์ขึ้นใหม่ จึงนับได้ว่า วัดนี้เป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่สมัยราชกาลที่ ๑

           ในการนี้ โปรดให้สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีหรือสมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ (นาก) พระอัครมเหสีสร้างพระอุโบสถขนาดกลาง ทรงไทยยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีลักษณะวิจิตรงดงาม เมื่อสร้างและบูรณะเสนาสนะเสร็จแล้ว โปรดให้พระสงฆ์มาอยู่จำพรรษาทั้งวัดท้ายตลาดและวัดแจ้ง ทรงตั้งพระมหาศรี เปรียญเอก วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เป็นพระเทพโมลี พร้อมคณะพระอันดับมาครองวัดท้ายตลาด นับเป็นปฐมเจ้าอาวาสในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลัง ท่านได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น พระพุทธโฆษาจารย์ และทรงตั้งให้พระปลัดสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) เป็นพระโพธิวงศาจารย์ ให้พระครูเมธังกร วัดบางหว้าใหญ่ เป็นพระศรีสมโพธิ โปรดให้พระราชาคณะทั้งสองมาครองวัดแจ้ง

           สมัยรัชกาลที่ ๒ ทรงขนานนามวัดใหม่ว่า "‌วัดพุทไธสวรรย์" หรือ "วัดพุทไธสวรรยาวาศวรวิหาร" ทรงเจริญพระราชศรัทธาในอดีตเจ้าอาวาสวัดนี้ คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) เนื่องจากสมัยนั้นสถานศึกษาวิชาการอยู่ตามวัด โปรดให้พระราชโอรสหลายพระองค์เสด็จมาทรงพระอักษรกับเจ้าประคุณสมเด็จรูปนี้ ทั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็นพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น นอกจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) เมื่อดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพุทธโฆษาจารย์ ได้เป็นพระราชกรรมวาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อผนวชอีกด้วย ดังบันทึกไว้ในพงศาวดารว่า

           "พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่ครั้งยังทรงตำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ ๑ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ พระญาณสังวรเถร (สุก)  เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ พระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยาราม เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์"

           สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชศรัทธาปฏิสังขรณ์ทั้งทั้งพระอารามให้บริบูรณ์งดงามยิ่งขึ้นกว่าเก่า สิ้นพระราชทรัพย์ห้าร้อยเก้าสิบหกชั่งแปดตำลึง ทรงขนานนามวัดใหม่ว่า "วัดโมลีโลกย์สุธารามอาวาศวรวิหาร พระอารามหลวง" เรียกสั้น ๆ ว่า "วัดโมลีโลกย์สุธาราม"  ซึ่งต่อมา เรียกว่า วัดโมลีโลกยาราม

           ในรัชกาลนี้ ทรงพระราชทานสถาปนาพระพุทธโฆษาจารย์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" และถึงมรณภาพในรัชกาลนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้หล่อรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) คราวเดียวกับพระรูปของพระญาณสังวรเถร (สุก) ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ไว้ทรงสักการบูชาในหอพระเจ้า (หอสมเด็จวัดโมลีโลกย์) เมื่อปีเถาะ พุทธศักราช ๒๓๘๖ เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาเวลาเสด็จมาทอดผ้าพระกฐิน

           มีประวัติเนื่องในพระราชวงศ์อีกอย่างหนึ่ง เมื่อรัชกาลที่ ๓ ครองราชย์สมบัติแล้วสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีหรือกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง (เจ้าฟ้าบุญรอด พ.ศ.๒๓๑๐-๒๓๗๙) พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงเป็นพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จเสด็จออกไปประทับอยู่กับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชโอรสพระอง๕น้อยที่พระราชวังเดิม เมื่อรื้อตำหนักไม้ในพระบรมมหาราชวังเปลี่ยนสร้างเป็นพระตำหนังตึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รื้อพระตำหนักแดง ซึ่งสมเด็จพระบรมราชินีพระองค์นั้นเคยประทับไปสร้างถวายที่พระราชวังเดิมทั้งหมู่ ครั้นสมเด็จพระราชินีพระองค์นั้นสรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รื้อพระตำหนักแดงที่พระราชมารดาเสด็จประทับไปสร้างถวายเป็นกุฏีเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกย์

           ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงเห็นว่า พระตำหนักแดงหลังนั้นควรจะอยู่ที่วัดเขมาภิรตารามเนื่องจากเป็นวัดที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีพระราชมารดาของพระองค์ทรงบูรณปฏิสังขรณ์จึงโปรดให้กระทำผาติกรรมย้ายพระตำหนักแดงหลังนั้นไปสร้างเป็นกุฎีเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม และทรงสร้างกุฎีตึกพระราชทานเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกย์แทนพระตำหนักแดง ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ ทั้ง ๒ แห่งนอกจากนั้นได้ทรงปฏิสังขรณ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ และปูชนียวัตถุอื่น ๆ ในวัดโมลีโลกย์ตลอดทั้งพระอารามอีกครั้งหนึ่ง ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ พระอง๕ได้ทรงบูรณะพระอุโบสถโดยพระราชทานตราไอยราพรต ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดินสมัยนั้นประดิษฐานไว้ที่หน้าบันพระอุโบสถด้วย

           พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบูรณะหอพระไตรปิฏกตรงกับสมัยพระธรรมเจดีย์ (อยู่) เป็นเจ้าอาวาส และเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐิน พ.ศ.๒๔๑๘

           พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงจัดลำดับพระอารามหลวงโปรดให้วัดโมลีโลกยารามเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิด ราชวรวิหาร และเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐิน พ.ศ.๒๔๕๘

           พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐินเมื่อวันพุธ ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๒๑ นอกจากนั้น ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ รัฐบาลยังได้บูรณพระอาราม โดยเฉพาะเขตพุทธาวาส ได้แก่ พระอุโบสถ พระวิหาร หอสมเด็จ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี อีกด้วย

           สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จมาวัดโมลีโลกยารามเพื่อนมัสการพระประธานในพระอุโบสถและเพื่อทอดพระเนตรหอพระไตรปิฎกสมัยราชกาลที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๑

           นับได้ว่า วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทยและโบราณคดี เนื่องจากเป็นวัดที่มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุที่ทรงคุณค่าต่อการศึกษา มีความสำคัญต่อประเทศชาติและเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ สรุปได้ดังนี้

๑.       เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง ๓ รัชกาลเป็นอย่างน้อย ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอาราม

๒.      เป็นสถานที่ศึกษาอักษรสมัยเบื้องต้นของพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อยังทรงพระเยาว์

๓.       เป็นที่สถิตของสมเด็จพระราชาคณะผู้ทรงคุณธรรมสำคัญ คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) ผู้เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวช

           อนึ่ง การบูรณปฏิสังขรณ์นอกจากที่กล่าวมาแล้วในยุคก่อน ก็น่าจะมีเจ้าอาวาสหรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ปฏิสังขรณ์บ้าง แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏ พึ่งมาปรากฏในยุคพระสนิทสมณคุณ (เงิน) อดีตเจ้าอาวาสลำดับที่ ๘ ได้จัดการปฏิสังขรณ์เสนาสนะให้ดีขึ้นหลายแห่ง แต่ยังไม่ทันสมบูรณ์ก็ถึงมรณภาพ ครั้งถึงยุคพระประสิทธิคุณ (จ้อย) อดีตเจ้าอาวาสลำดับที่ ๙ ก็ได้มีการปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุสำคัญขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น เสนาสนะสงฆ์ พระประธาน ถนนและทำเขื่อนคอนกรีตหน้าวัด เป็นต้น ต่อมาได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งวัดอีกครั้งในยุคของพระพรหมกวี (วรวิทย์) เป็นเจ้าอาวาส ในช่วงระหว่างพุทธศักราช ๒๕๔๗-๒๕๕๑ เพื่อรองรับพระภิกษุสามเณรที่เข้ามาอยู่ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม จำนวนมากกว่า ๑๕๐ รูป

ประวัติ วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร
รวบรวมเรียบเรียงโดย
พระราชปริยัติโมลี(สุทัศน์ วรทสฺสี ป.ธ.๙)
ขอบคุณ
http://www.watmoli.org/index.php

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

ประวัติ วัดใหม่พิเรนทร์ บ้านโพธิ์สามต้น




                  ''วัดใหม่พิเรนทร์'' เป็นวัดเล็ก ๆ วัดโบราณวัดหนึ่ง ได้สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๘๔ ตั้งอยู่เลขที่ ๖๑๑ ถนนอิสรภาพ แขวงวัดอรุณเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่ม อยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งประชาชนส่วนมากประกอบอาชีพทำข้าวหลามขาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า “วัดใหม่บ้านข้าวหลาม”ครั้นต่อมาทางการ ได้ตัดถนนผ่านหน้าวัด (ถนนอิสรภาพ) ทำให้การคมนาคมไปมาสะดวกขึ้นประกอบกับอยู่ใกล้กับสามแยกโพธิ์สามต้น ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า “วัดใหม่โพธิ์สามต้น”
ในอดีตนั้น พระพิเรนทรเทพ และญาติพี่น้องในฐานะผู้สร้างและทำให้วัดมีหลักฐานมั่นคงเพื่อเป็นเกียรติประวัติจึงได้ขนานนามวัดตามบรรดาศักดิ์ท่านว่า “วัดใหม่พิเรนทร์”มาจนถึงปัจจุบัน โดย วัดใหม่พิเรนทร์ มีเนื้อที่ ๘ ไร่ ๔๖ ตารางวา อาณาเขตดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับที่ดินเอกชน ความยาว ๗๕.๓๐ เมตร
ทิศใต้ ติดต่อกับที่ดินเอกชน ความยาว ๑๓๗.๐๐ เมตร
ทิศตะวันออก ติดต่อกับถนนอิสรภาพ ความยาว ๑๒๖.๑๐ เมตร
ทิศตะวันตก ติดต่อกับลำคลอง ความยาว ๙๓.๙๐ เมตร

พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มมีกำแพงคอนกรีตกันเขตวัด หน้าวัดอยู่ทางทิศตะวันออก มีถนนอิสรภาพผ่าน อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มีอุโบสถ กว้าง ๘.๘๐ เมตร ยาว ๒๓.๘๐ เมตร แต่เดิมสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ ด้านหน้าและด้านหลังเป็นแบบมีกันสาด ได้ทำการซ่อมแซมดัดแปลงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นแบบหลังคาคอนกรีตสองชั้นมีซุ้มประตูด้านหน้า มีกุฏิสงฆ์ ๙ หลัง เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้นมุงหลังคาด้วยกระเบื้องเคลือบ หอสวดมนต์ เป็นเสาคอนกรีต ฝาและพื้นเป็นไม้สักมี สามจั่ว ศาลาเอนกประสงค์ เป็นตึกสองชั้น ตรีมุข มีช่อฟ้าใบระกาหางหงษ์ ที่นห้าบันจารึกพระพุทธรูปไว้ทั้งสามด้าน นอกจากนี้ยังมี ศาลาการเปรียญ ชื่อศาลาพร้อม ศิริวัฒนกุล หอระฆัง ฌาปนสถาน ศาลาบำเพ็ญกุศล เมรุ สุสาน พระพุทธรูปปูนปั้นแบบสุโขทัย ๒ องค์ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ และห้ามสมุทร รวม ๗ องค์ พระประธาน ๑ องค์ จึงเป็นพระพุทธรูปทั้งหมด ๑๐ องค์

วัดใหม่พิเรนทร์ ถูกสร้างขึ้นมานานแล้วในทางประวัติศาสตร์น่าจะสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนปลาย ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ตั้งของพระราชวังเดิม (สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี) มีเรื่องเล่าว่า บริเวณวัดใหม่พิเรนนทร์มีต้นโพธิ์ยืนตระหง่าน เมื่อสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชไทย พ.ศ. ๒๓๑๐ พระองค์ท่านได้ล่องเรือพาทหาร และข้าราชบริภาร ล่องเรือมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา มุ่งมาทางใต้ และได้มาถึงบริเวณวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) ในรุ่งขึ้น พระองค์ก็อธิฐานจติที่จะตั้งเมืองใหม่บริเวณที่แห่งนี้เพื่อสร้างเมืองก็คือ กรุงธนบุรี บริเวณที่แห่งนี้มีแม่น้ำล้อมรอบคือ แม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ทางด้านทิศตะวันออก คลองบางหลวงอยู่ทางด้านทิศใต้ คลองมอญอยู่ทางด้านทิศเหนือ และคลองบางกอกใหญ่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก บริเวณที่แห่งนี้มีวัดที่สร้างมาแล้ว แต่เป็นวัดทรุดโทรม และมีพระภิกษุสามเณรพำนักจำพรรษาน้อย วัดที่ว่านี้มี ๗ วัด คือ

๑. วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง)

๒. วัดโมลีโลกยาราม

๓. วัดหงส์รัตนาราม

๔. วัดราชสิทธาราม

๕. วัดนาคกลาง

๖. วัดเครือวัลย์
๗. วัดใหม่บ้านข้าวหลาม (วัดใหม่พิเรนทร์)
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้ง ๗ วัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กันโดยมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ และประชาชนผู้ศรัธธาในพระพุทธศาสนาสร้างขึ้นมาไว้เป็นที่ปฏิบัติศาสนธรรมตามพุทธประเพณี โดยวัดที่กลาวมาทั้ง ๗ วัดนั้น ปัจจุบันนี้มีวัดที่ได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวง ๖ วัด คือ

๑. วัดอรุณราชวราราม

๒. วัดโมลีโลกยาราม

๓. วัดหงส์รัตนาราม

๔. วัดราชสิทธาราม

๕. วัดนาคกลาง

๖. วัดเครือวัลย์

มีเพียงวัดใหม่พิเรนทร์ เพียงวัดเดียวที่เป็นวัดราษฎร์ มีเรื่องเล่าขานทางประวัติศาสตร์ว่าวัดใหม่พิเรนทร์นี้ บริเวณที่ตั้งรอบ ๆ มีต้นใผ่ขึ้นปกคลุมบริเวณชุมชนรอบวัดและมีคลองเล็ก ๆ ผ่านทางด้านทิศตะวันตกหากจะกล่าวถึงชัยภูมิการตั้งเมืองกรุงธนบุรี ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราชพระองค์ท่านตงคิดว่าบริเวณเหล่านี้น่าจะเป็นสถานที่อันเป็นมงคลที่จะสร้างเป็นราชธานี เพราะมีวัดล้อมรอบ และมีคลองล้อมรอบด้วย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการป้องกัน และรักษาเมืองมิให้อริราชศัตรูเข้ามาทำลายได้ยากยิ่ง

ต่อมา วัดใหม่พิเรนทร์ หรือชื่อเดิมว่า วัดใหม่โพธิ์สามต้น หรือ วัดใหม่บ้านข้าวหลาม ตามีที่ชาวบ้านเรียกกันก็สุดแต่ใครจะเรียก เพราะทั้งสามชื่อก็คือวัดเดียวกันตามหลักฐานการสร้างวัดและบูรณะวัด ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ยุคของแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระพิเรนทรเทพ (ขำ ณ ราชสีมา) เป็นบุตรของ เจ้าพระยากำแหงสงครามหรือ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอินทร์ อินทรกำแหง) ในสมัยนั้นท่านดำรงตำแหน่งกรมพระตำรวจหลวง รัชกาลที่ ๓ ท่านได้เดินทางมาสักการะพระราชวังเดิม (วัดอรุณราชวราราม) ได้มาเยี่ยมญาติในบริเวณนี้ และท่านได้เห็นวัดใหม่โพธิ์สามต้น หรือวัดใหม่บ้านข้าวหลาม ที่มีเสนาสนะชำรุดทรุดโทรมมาก ท่านจึงปรารภกับญาติ ๆและผู้ติดตามว่า จะสร้างวัดแห่งนี้ไว้เป็นที่ให้พระภิภษุ-สามเณร ได้ปฏิบัติศาสนธรรมทางพระพุทธศาสนา หลังจากท่านได้ปฏิสังขรณ์วัดพระพิเรนทร์ (วัดขำเขมการาม) เมื่อพ.ศ. ๒๓๗๙ และได้มาปฏิสังขรณ์วัดใหม่โพธิ์สามต้น เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔

ที่ชื่อว่า วัดใหม่ขี้หมู นั้นเรียกตามภาษาชาวบ้านเท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่าเดิมก่อนสร้างวัดก็ดีหรือสร้างวัดแล้วก็ดี เป็นที่ ๆ มีหมูป่าอยู่เป็นจำนวนมาก และหมูเหล่านี้ได้ถ่ายเอาไว้เหม็นทั่วไปหมด ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดใหม่ขี้หมู ทั้งนี้เพราะเป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่และแม้ว่าภายหลังจะมีประชาชนมาอยู่มากขึ้น ทำให้หมูป่าสูญพันธุ์ไป แต่ก็มีผู้เอาหมูมาเลี้ยงปล่อยไว้ตามใต้ถุนกุฏิพระเป็นจำนวนมาก หลังน้ำท่วมใหญ่ปี ๒๔๘๕ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีผู้เอาหมูมาเลี้ยงปล่อยไว้ใต้ถุนกุฏิพระเป็นสิบ ๆ ตัว เวลาเข้าไปหาเศษแก้ว ขวดแตกเศษเหล็กขายเหม็นขี้หมูจนไม่อยากเข้าไป

ที่ชื่อว่า วัดใหม่บ้านข้าวหลาม นั้นก็เรียกตามภาษาชาวบ้านเช่นกัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่าวัดนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ ณ บ้านข้าวหลาม ชาวบ้านจึงนิยมเรียกตามชื่อบ้านเพราะจำง่ายหาง่าย และเรียกจนติดปาก เด็ก ๆ รุ่นเราไม่รู้จัก รู้จักแต่ชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ ชาวบ้านรู้จักชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ มากขึ้นก่อนปี ๒๕๐๐ เล็กน้อยและคนที่ยังเรียกว่าวัดใหม่บ้านข้าวหลามก็ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน คนวัดใหม่พิเรนทร์ไม่รู้จักชื่อวัดใหม่บ้านข้าวหลาม เช่นเดียวกับวัดชิโนรสาราม กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงสร้างไว้ที่ริมคลองมอญ ก็เรียกว่า วัดใหม่คลองมอญ และถึงแม้ว่าภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ จะพระราชทานชื่อให้ว่าวัดชิโนรสาราม เพื่อถวายพระเกียรติองค์ผู้สร้างวัด แต่ชาวบ้านก็เรียกว่าวัดใหม่คลองมอญอยู่ดี คนรุ่นก่อนเรียกกันจนติดปากเวลาจะเล่นน้ำก็จะชวนกันไปเล่นที่ท่าวัดใหม่คลองมอญเป็นต้น

วัดใหม่พิเรนทร์เป็นชื่อที่เป็นทางการเป็นชื่อที่มีอยู่ในทำเนียบวัดของกรมการศาสนา ส่วนคำว่าใหม่นั้นไม่เป็นที่สงสัยเพราะเป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่ แต่คำว่า พิเรนทร์ นั้นมีคำถามมากมายทั้งจากผู้อื่นที่ถามมาและเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้ที่สร้างวัดนี้คือ พระพิเรนทรเทพ
"ถามว่า" พระพิเรนทรเทพสร้างขึ้นใหม่ ทำไมไม่ตั้งชื่อวัดใหม่พระพิเรนทร์ ?

"ตอบว่า" เพราะจำไปซ้ำกับวัดพระพิเรนทร์ ซึ่งพระพิเรนทรเทพท่านที่ ๑ คือ นายสุดใจได้สร้างไว้ก่อนแล้วที่วรจักร

"ถามว่า" ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ตั้งชื่อว่า วัดใหม่พิเรนทรเทพ หรือ วัดใหม่ทรเทพ ?

"ตอบว่า" คำว่า พิเรนทรเทพ เป็นราชทินนามคำว่า พระ คือ ยศ หรือ ศักดินา เช่นท่านขุน คุณหลวง คุณพระ พระยา เหล่านี้คือ ยศหรือศักดินาที่ได้เลื่อนขึ้นเมื่อทำความดีความชอบเหมือนร้อยตรีขึ้นเป็นร้อยโท เป็นต้น ส่วนที่ไม่ใช้ทรเทพนั้น เข้าใจว่าคงไม่เป็นที่นิยมกัน ขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์มักจะใช้บรรดาศักดิ์คำหน้าราชทินนาม เช่นหลวงพิบูลสงคราม ก็ใช้เรียนกันว่า หลวงพิบูล เฉย ๆ พระบริภัณฑ์ยุทธกิจก็เรียกกันว่า พระบริภัณฑ์

"ถามว่า" ถ้าอย่างนั้นพระพิเรนทรเทพ จึงตั้งชื่อวัดที่สร้างขึ้นใหม่ว่าวัดใหม่ แล้วเอาราชทินนามคำหน้าใส่ไว้ใช่หรือไม่

"ตอบว่า" อาจเป็นความประสงค์ของท่านผู้สร้างที่จใช้คำหน้าของบรรดาศักดิ์เท่านั้น เพราะปกติเข้าใจว่าผู้ที่เรียกท่านก็จะเรียกว่า พระพิเรนทร์เท่านั้น

เป็นที่ทราบกันแล้วว่าผู้ที่สร้างวัดใหม่พิเรนทร์คือ พระพิเรนทรเทพ (ขำ) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ และเป็นพระพิเรนทรเทพท่านที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งท่านพิเรนทรเทพนั้นมีอยู่ ๓ ท่านด้วยกัน คือ

ท่านที่ ๑ พระพิเรนทรเทพ ท่านสุดท้ายในสมัยกรุงศรีอยุทธยาซึ่งมีรับสั่งให้ยกกองทัพไปรักษาเมืองกาญจนบุรี และได้ถูกกองทัพพม่าตีแตกพ่าย เนื่องเพราะมีกำลังน้อยกว่า

ท่านที่ ๒ ชื่อนายสุดใจ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นพระพิเรนทรเทพเมื่อทรงปราบดาภิเษก เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕

ท่านที่ ๓ ชื่อนายขำ ปรากฎชื่อเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ มีรับสั่งให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา พระยามหาอำมาตรย์ และพระพิเรนทรเทพไปสักเลกชายฉกรรจ์ ลาวตะวันออกเขมรป่าดง เมื่อพ.ศ. ๒๓๘๐

เมื่อพระพิเรนทรเทพมีศรัทธาที่จะสร้างวัดให้เป็นสมบัติไว้ในพระพุทธศาสนานั้น ต้องดำเนินการเบื้องต้นสองประการก่อนคือ

๑. ต้องจัดหาที่ดินที่เหมาะสมก่อนคือใกล้น้ำ เพราะในสมัยก่อนการสัญจรไปมาใช้ทางน้ำเป็นหลัก

๒. ต้องหาคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจ และมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องไม้ไปเสาะหาแหล่งไม้สักก่อน และไม้สักนั้นจะขึ้นได้ดีต้องเป็นพื้นที่ ๆดินดี น้ำดี อากาศดี ดังนั้นไม้สักจึงมีมากในภาคเหนือคือ ตั้งแต่แต่จังหวัดกำแพงเพชรขึ้นไป และในการหาแหล่งไม้ที่เป็นป่าสมบูรณ์จะต้องใกล้ลำน้ำด้วย เพราะจะใช้อาบกิน และปลูกผักสวนคัวเพื่อเป็นเสบียงต้องหาที่สำหรับทำนาปลูกข้าว และต้องใกล้ป่าไผ่สำหรับทำแพบรรทุกไม้ล่องมาด้วย ไม้ที่ต้องใช้สำหรับสร้างวัดใหม่พิเรนทร์ใช้คนทำงานประมาณ ๗๐ คน โดยแบ่งงานดังนี้ ใช้คนคัดเลือกไม้ตัดโค่น ตัดทอน ชักลากรวมหมอน ๑๕ คน ถากเสาและพริกไม้ ๑๕ คน เลื่อยไม้แปรรูป ๓๕ คน ตัดไม้ไผ่ทำแพ ๕ คนในการเลื่อยไม้นั้นต้องใช้เลื่อยโครงเป็นคู่ คู่หนึ่งถ้าไม้ขนาดหน้ากว้าง ๑๐ นิ้ว หน้านิ้วครึ่ง ยาว ๕ เมตร จะได้โดยเฉลี่ยวันละ ๓ แผ่น ดังนั้นจะต้องใช้เวลาทำไม้ถึง ๓ ปี หยุดพักหน้าฝนปีละ ๕ เดือนรวมแล้วต้องใช้เวลาเต็ม ๆ ๒๔ เดือน เป็นอย่างต่ำได้เสาล่องเสาได้ไม้ล่องไม้โดยต้องมีช่างที่มีความรู้ทางช่างไม้ด้วยว่าจะเลื่อยไม้อะไรก่อน ส่วนช่างปลูกสร้างก็ต้องเตรียมวางผังขุดหลุมไสไม้ถากเสา ทั้งหมดที่อธิบายมาพอเป็นสังเขป

เมื่อสร้างวัดโพธิ์สามต้นเสร็จแล้ว ชาวบ้านและญาติมิตรจึงเปลี่ยนชื่อวัดจาก วัดใหม่โพธิ์สามต้น หรือวัดใหม่บ้านข้าวหลาม เป็น วัดใหม่พิเรนทร์ และขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใน ปี พ.ศ. ๒๓๘๔ ปีเดียวกันนั้น เหตุที่ชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ ก็เพราะเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ พระพิเรนทรเทพ และไม่ได้ให้ซ้ำกับวัดพระพิเรนทร์ จึงใช้คำว่า “ใหม่” นำหน้า จึงเป็นชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ ต่อมาพระพิเรนทรเทพ ท่านได้รับราชการมีตำแหน่งหน้าที่เจริญรุ่งเรืองสนองงานของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เคารพบูชายึดมั่นในคำสอนของพระพุทธศาสนา ท่านจึงได้รับสถาปนา ยศสูงขึ้นตามลำดับ ยศสุดท้ายในฐานันดรศักดิ์ที่ พระยาไชยวิชิตสิทธิ์สาตรา (ขำ อินทรกำแหง ณ ราชสีมา) จากหลักฐานที่สืบค้นนพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ และหนังสือต่าง ๆ ที่ผู้รู้เขียนตำราอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ไว้

ขอบคุณแหล่งข่าว

https://th.wikipedia.org/